วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

อย่าจับมีดตรงคม...

        
          แม้จะมีพุทธภาษิตว่า อย่าคบคนพาล ควรคบหาแต่กะบัณฑิต เป็นต้น  แต่อยู่ในสังคม บางทีก็เลือกคนที่จะพบปะด้วยยาก บางทีก็ได้แต่เว้นระยะห่างประมาณหนึ่ง

          อีกอย่าง ปุถุชนทั่วไปมักมีหลายมุมในตัวเอง บางมุมน่าชม บางมุมน่าชัง เช่นคนรู้จักคนหนึ่งนิสัยเสียเรื่องผู้หญิง ขนาดไม่ยี่หระที่นอกใจเมียตัวเองไปติดพันเมียชาวบ้าน ตอนแรกยังแอบๆ แต่พอคนรู้มากเข้าก็ชักไม่อายสายตาคนอื่น

          แต่คนเดียวกันนี่เอง เจอนกบินตกอ่างเลี้ยงปลา (บินอีท่าไหนฟะ?)  นายคนนี้ก็เก็บเอานกตัวนั้นมาเช็ดมาเป่าจนขนแห้งบินปร๋อ ตอนสุนัขจรจัดที่ยึดที่ทำงานเป็นบ้านถาวรเกิดตั้งท้องออกลูก นายคนนี้ก็เป็นคนเอาธุระปะปัง หาลังกระดาษ หาผ้ามารอง อุ้มลูกสุนัขทารกไปวางเป็นที่เป็นทาง ดูแลตามสมควร จนมีคนโน้นคนนี้มาขอเอาไปเลี้ยงกันจนหมดครอก

          ป้าคนหนึ่งปกติเป็นป้าใจดีที่น่ารัก แต่ถ้าคุยหัวข้อการเมืองเมื่อไรล่ะก็ แกจะกลายเป็นป้าอารมณ์ร้ายที่สะใจกะการด่าว่าสีเสื้อตรงข้าม ถ้ามีคนไปเออออแกยิ่งเสียงดัง แล้วถ้ามีคนไปขัดคอ แกยิ่งเสียงดังกว่า : )  บางทีแค่แสดงความไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง ก็จะถูกติดป้ายเสื้อสีเข้าให้อย่างไม่ทันตั้งตัว แต่พออารมณ์เย็นเปลี่ยนเรื่องคุยกัน แกก็กลายเป็นป้าใจดีที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเคย (ถึงหลังๆ จะหงุดหงิดง่ายกะเรื่องอื่นด้วยก็เถอะ)


          วิธีคิดตามหลักพุทธธรรมข้อหนึ่งมีว่า การมองสิ่งใดๆ ควรมองให้ครบทั้ง 3 แง่ คือแง่อัสสาทะ (ด้านที่เป็นคุณ หรือมีรสชื่นใจ)  แง่อาทีนนะ (ด้านที่เป็นโทษ หรือมีรสไม่ชอบใจ)  และแง่นิสสรณะ (แง่ที่เป็นทางออก หรือเครื่องสลัดออก หมายถึงภาวะที่ไม่ต้องขึ้นต่อข้อเสียนั้น เช่นกามมีคุณน้อยมีโทษมาก สมาธิสุขเป็นนิสสรณะของกาม คือได้สุขจากสมาธิเป็นที่พึ่งก็ไม่ต้องง้อหรืออาศัยกามสุขอีก เป็นต้น)

          ในกรณีทำนองนี้ เราอาจประยุกต์ได้ว่า ในเมื่อคนมีทั้งแง่ดีแง่เสียดังกล่าว  เราก็ไม่ควรจับเอาแง่ใดแง่เดียวมาตัดสินตัวเขาแบบเหมารวม เพียงแต่รับรู้ตามจริงว่าเขาดีเรื่องนั้น เสียเรื่องนี้   กับข้อเสียของเขาหากเรายังทำอะไรไม่ได้  และยังต้องพบปะกะคนที่มีข้อเสียนี้ๆ อยู่ (อันที่จริงปุถุชนทุกคนก็มีข้อเสียล่ะ แต่ในที่นี้หมายถึงเป็นข้อเสียที่สะดุดใจเราอย่างจังเป็นต้น)  เราก็เลือกติดต่อสัมพันธ์กะเขาแต่ในแง่ที่เป็นกุศลแก่กัน อย่าไปเกี่ยวข้องในด้านที่จะก่อโทษแก่กัน ความคิดตรงนี้ก็เอามาจากสำนวนที่เป็นชื่อบทความนี้ ไม่แน่ใจว่ามาจากสำนวนของจีนหรือเปล่า? เพราะคนเขียนลืมไปแล้ว 55...

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

ไฮกุ (หรือเปล่าก็ไม่รู้) 2

ฉันฝันเป็นผีเสื้อ
หรือผีเสื้อฝันว่าเป็นฉัน
จวงจื้อนึกสงสัย


อาหารกองเต็มโต๊ะ
ผู้คนนั่งรายล้อมสรวลเส
หมาท้องกิ่วหมอบคอย


หงอกตายก่อนผมดำ
บ้านนี้ลูกหลานตายเป็นร้อย
คำอวยพรแบบเซน


หมูโดนฆ้อนทุบหัว
ปังตอใบใหญ่กรีดชำแหละ
เพื่อนมันน้ำตาไหล


ใบมีดนั้นคมปลาบ
ไก่กระพือปีกดิ้นสุดแรง
ตรุษจีนมาอีกแล้ว


รถวิ่งช้าเกินไป
นาฬิกาหมุนเร็วไปไหน
ใจคนไม่พอดี


หมอกลงเมื่อยามเช้า
ตอนสายแสงแดดร้อนจ้าจัด
พอเย็นฝนตกหนัก


นั่งตกปลาริมคลอง
น้ำไหลเอื่อยจิตใจผ่อนคลาย
เบ็ดเกี่ยวเหงือกปลาดิ้น


เด็กน้อยในลานกว้าง
เธอวิ่งเล่นลำพังคนเดียว
กลางดึกเงียบสงัด
----------------------------------------------------------

ไม่ได้อัพบล็อกหลายวัน อยากเขียนอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกัน
แต่ยังไม่มีไอเดียกะสมาธิเลย : )