วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปรมัตถธรรม ความหมายและเกร็ดความรู้ทางประวัติคัมภีร์


พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์
ชำระ-เพิ่มเติม พิมพ์เมื่อ ก.ค.2551

โดย พระพรหมคุณาภรณ์








ปรมัตถธรรม
ธรรมที่เป็นปรมัตถ์, ธรรมที่เป็นประโยชน์สูงสุด, สภาวะที่มีอยู่โดยปรมัตถ์, สิ่งที่เป็นจริงโดยความหมายสูงสุด, สภาวธรรม, นิยมพูดกันมาเป็นหลักทางพระอภิธรรมว่ามี ปรมัตธรรม ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน


พึงสังเกตเค้าความที่เป็นมาว่า คำว่า “ปรมัตถธรรม” (บาลี:
ปรมตฺถธมฺม) นี้ ไม่พบที่ใช้ในพระไตรปิฎกแต่เดิม (ในพระไตรปิฎก ใช้เพียงว่า “ปรมตฺถ” หรือรวมกับคำอื่น, ส่วนในพระไตรปิฎกแปลภาษาไทย มีคำว่าปรมัตถธรรม ซึ่งท่านผู้แปลใส่หรือเติมเข้ามาตามคำอธิบายของอรรถกถาบ้าง ตามที่เห็นเหมาะบ้าง) ต่อมาในชั้นอรรถกถา “ปรมัตถธรรม” จึงปรากฏบ้าง ๒-๓ แห่ง แต่หมายถึงเฉพาะนิพพาน หรือไม่ก็ใช้อย่างกว้างๆ ทำนองว่าเป็นธรรมอันให้ลุถึงนิพพาน ดังเช่นสติปัฏฐานก็เป็นตัวอย่างของปรมัตถธรรม ทั้งนี้ เห็นได้ว่าท่านมุ่งความหมายในแง่ว่าประโยชน์สูงสุด


ต่อมา ในคัมภีร์ชั้นฎีกาลงมา มีการใช้คำว่าปรมัตถธรรมบ่อยครั้งขึ้นบ้าง (ไม่บ่อยมาก) และใช้ในความหมายว่าเป็นธรรมตามความหมายอย่างสูงสุด คือในความหมายที่แท้จริง มีจริง เป็นจริง ซึ่งตรงกับคำว่าสภาวธรรม ยิ่งเมื่อมีคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะเกิดขึ้นแล้ว และมีการศึกษาพระอภิธรรมตามแนวของอภิธัมมัตถสังคหะนั้น ก็มีการพูดกันทั่วไปถึงหลักปรมัตถธรรม ๔ จนกล่าวได้ว่าอภิธัมมัตถสังคหะเป็นแหล่งเริ่มต้นหรือเป็นที่มาของเรื่องปรมัตถธรรม ๔


อย่างไรก็ดี ถ้าพูดอย่างเคร่งครัดตามตัวอักษร ในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะนั้นเอง ท่านไม่ใช้คำว่า “ปรมัตถธรรม” เลย แม้แต่ในคาถาสำคัญเริ่มปกรณ์หรือต้นคัมภีร์ ซึ่งเป็นบทตั้งหลักที่ถือว่าจัดประมวลปรมัตถธรรม ๔ ขึ้นมาให้ศึกษานั้น แท้จริงก็ไม่มีคำว่า “ปรมตถธมฺม” แต่อย่างใด ดังคำของท่านเองว่า

ตตฺถ วุตตาภิธมฺมตฺถา จตุธา ปรมตฺถโต
จิตฺตํ เจตสิกํ รูปํ นิพฺพานมิติ สพฺพถา


แปล: “อรรถแห่งอภิธรรม ที่ตรัสไว้ในพระอภิธรรมนั้น ทั้งหมดทั้งสิ้น โดยปรมัตถ์ มี ๔ อย่าง คือ จิต ๑ เจตสิก๑ รูป๑ นิพพาน๑”

(นี่เป็นการแปลกันตามคำอธิบายของคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี แต่มีอีกฎีกาหนึ่งในยุคหลังค้านว่าอภิธัมมัตถวิภาวินีบอกผิด ที่ถูก ต้องแปลว่า “อภิธัมมัตถะที่ข้าพเจ้าคือพระอนุรุทธาจารย์กล่าวในคำว่าอภิธัมมัตถสังคหะนั้น ...”)


ท้ายปริเฉทที่ ๖ คือรูปสังคหวิภาคซึ่งเป็นบทที่แสดงปรมัตถ์มาครบ ๔ ถึงนิพพาน ก็มีคาถาคล้ายกัน ดังนี้

อิติ จิตฺตํ เจตสิกํ รูปํ นิพฺพานมิจฺจปิ
ปรมตฺถํ ปกาเสนฺติ จตุธาว ตถาคตา

แปล: “พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมทรงประกาศปรมัตถ์ไว้เพียง ๔ อย่าง คือ จิต ๑ เจตสิก๑ รูป๑ นิพพาน๑ ด้วยประการฉะนี้”


เมื่อพินิจดูก็จะเห็นได้ที่นี่ว่า คำว่า “ปรมัตถธรรม” เกิดขึ้นจาก

ประการแรก ผู้จัดรูปคัมภีร์ (อย่างที่ปัจจุบันเรียกว่าบรรณกร) จับใจความตอนนั้นๆ ตั้งขึ้นเป็นหัวข้อ เหมือนอย่างในกรณีนี้ ในคัมภีร์บางฉบับ ตั้งเป็นหัวข้อขึ้นเหนือคาถานั้นว่า “จตุปรมตฺถธมฺโม” (มีในฉบับอักษรพม่า, ฉบับไทยไม่มี) และ

ประการที่สอง ผู้แปลเติมหรือใส่เพิ่มเข้ามา เช่นคำบาลีว่า “ปรมตฺถ” ก็แปลเป็นไทยว่าปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นกรณีที่เป็นกันทั่วไป


ในคัมภีร์รุ่นต่อมาที่อธิบายอภิธัมมัตถสังคหะ เช่น อภิธัมมัตถวิภาวินี มีการใช้คำบาลีเป็น “
ปรมตฺถธมฺม” บ้างแม้จะไม่มาก แต่ก็ไม่มีที่ใดระบุจำนวนว่าปรมัตถธรรมสี่ จนกระทั่งในสมัยหลังมาก มีคัมภีร์บาลีแต่งในพม่าบอกจำนวนก็บอกเพียงว่า “ปรมัตถ์ ๔” (จตฺตาโร ปรมตฺเถ,
[ปรมตฺถทีปนี สงฺคหมหาฎีกาปาฐ, ๓๓๑]) แล้วก็มีอีกคัมภีร์หนึ่งแต่งในพม่ายุคไม่นานนี้ ใช้คำว่าปรมัตถธรรมโดยระบุว่าสังขารและนิพพาน เป็นปรมัตถธรรม (นมกฺการฎีกา, ๔๕) ยิ่งกว่านั้น ย้อนกลับไปยุคเก่า อาจจะก่อนพระอนุรุทธาจารย์แต่งอภิธัมมัตถสังคหะเสียอีก คัมภีร์ฎีกาแห่งอรรถกถาแห่งสังยุตตนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎก ซึ่งถือว่ารจนาโดยพระธรรมปาละ ผู้เป็นอรรถกถาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง ใช้คำว่าปรมัตถธรรมในข้อความที่ระบุว่า “ปรมัตถธรรมอันแยกประเภทเป็น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ สัจจะ อินทรีย์ และปฏิจจสมุปบาท” (สํ.ฏี ๒/๓๓๐๓/๖๕๑) นี่ก็คือบอกว่า ปรมัตถธรรมได้แก่ประดาธรรม ชุดที่เรียกกันว่าปัญญาภูมิ หรือวิปัสสนาภูมิ นั่นเอง


ตามข้อสังเกตและความที่กล่าวมา พึงทราบว่า

๑. การแปลขยายศัพท์อย่างที่แปลปรมัตถะว่าปรมัตถธรรมนี้ มิใช่เป็นความผิดพลาดเสียหาย แต่เป็นเรื่องทั่วไปที่ควรรู้เท่าทันไว้ อันจะเป็นประโยชน์ในบางแง่บางโอกาส (เหมือนในการอ่านพระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาไทย ผู้อ่านก็ควรทราบเป็นพื้นไว้ว่า คำแปลอาจจะไม่ตรงตามพระบาลีเดิมก็ได้ เช่น ในพระไตรปิฎกบาลีเดิมว่า พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระวิหาร [คือที่ประทับ] แต่ในฉบับแปล บางทีท่านแปลผ่านคำอธิบายของอรรถกถาว่า พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฎี)


๒. การประมวลอรรถแห่งอภิธรรม (โดยทั่วไปก็ถือว่าเป็นการประมวลธรรมทั้งหมดทั้งปวงนั่นเอง) จัดเป็นปรมัตถ์ ๔ (ที่เรียกกันว่าปรมัตถธรรม ๔) ตามนัยของอภิธัมมัตถสังคหะนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นระบบอันเยี่ยม ซึ่งเกื้อกูลต่อการศึกษาธรรมอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นแนวอภิธรรม แต่ถ้าพบการจัดอย่างอื่น ดังที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง [เป็นสังขารและนิพพาน บ้าง เป็นอย่างที่เรียกว่าปัญญาภูมิ บ้าง] ก็ไม่ควรแปลกใจ พึงทราบว่าต่างกันโดยวิธีจัดเท่านั้น ส่วนสาระก็ลงเป็นอันเดียวกัน เหมือนจะว่าเบญจขันธ์ หรือว่านามรูป ก็อันเดียวกัน ก็ดูแค่ว่าวิธีจัดแบบไหนจะง่ายต่อการศึกษาหรือเอื้อประโยชน์ที่มุ่งหมายมากกว่ากัน


๓. ในคาถาเริ่มปกรณ์ (ในฉบับอักษรไทย ผู้ชำระ คือผู้จัดรูปคัมภีร์ ตั้งชื่อให้ว่า “ปกรณารมฺภคาถา” แต่ฉบับอักษรพม่าตั้งชื่อว่า “คนฺถารมฺภกถา”) มีข้อความที่เป็นบทตั้ง ซึ่งบอกใจความทั้งหมดของคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ คาถานี้จึงสำคัญมาก ควรตั้งอยู่ในความเข้าใจที่ชัดเจนประจำใจของผู้ศึกษาเลยทีเดียว ในกรณีนี้ การแปลโดยรักษารูปศัพท์ อาจช่วยให้ชัดขึ้น เช่นอาจแปลว่า “อภิธัมมัตถะ ที่กล่าวในคำว่า ‘อภิธัมมัตถสังคหะ’ นั้น ทั้งหมดทั้งสิ้นโดยปรมัตถ์ มี ๔ อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน” (พึงสังเกตว่า ถ้าถือเคร่งตามตัวอักษร ในคาถาเริ่มปกรณ์นี้ ท่านว่ามีอภิธัมมัตถะ ๔ ส่วนในคาถาท้ายปริเฉทที่หก ท่านกล่าวถึงปรมัตถะ ๔ แต่โดยอรรถ ทั้งสองอย่างนั้นก็เป็นอย่างเดียวกัน” โดยเฉพาะคำว่าอภิธัมมัตถะ จะช่วยโยงพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมดเข้าสู่เรื่องที่ศึกษา เพราะท่านมุ่งว่าสาระในอภิธรรมปิฎกทั้งหมดนั้นเอง ประมวลเข้ามาเป็น ๔ อย่างนี้ ดังจะเห็นชัดตั้งแต่พระอภิธรรมปิฎกคัมภีร์แรก คือธัมมสังคณีตลอดหมดทั้ง ๒๕๘ หน้า ที่แจงกุสลัตติกะ อันเป็นปฐมอภิธัมมมาติกา ก็ปรากฏออกมาชัดเจนว่าเป็นการแจงเรื่อง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน นี้เอง

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อรรถกถา = เครื่องบอกความหมาย ถ้อยคำบอกแจ้งชี้แจงอรรถ คำอธิบายอัตถะ คือความหมายของพระบาลี

พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์
ชำระ-เพิ่มเติม พิมพ์เมื่อ ก.ค.2551

โดย พระพรหมคุณาภรณ์







อรรถกถา
"เครื่องบอกความหมาย", ถ้อยคำบอกแจ้งชี้แจงอรรถ, คำอธิบายอัตถะ คือความหมายของพระบาลี อันได้แก่พุทธพจน์ รวมทั้งข้อความและเรื่องราวเกี่ยวข้องแวดล้อมที่รักษาสืบทอดมาในพระไตรปิฎก, คัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎก;


ในภาษาบาลีเขียน อฏฺฐกถา, มีความหมายเท่ากับคำว่า อตฺถวณฺณนา หรือ อตฺถสํวณฺณนา (คัมภีร์สัททนีติ ธาตุมาลา กล่าวว่า อรรถกถา คือเครื่องพรรณาอธิบายความหมาย ที่ดำเนินไปตามพยัญชนะและอัตถะ อันสัมพันธ์กับเหตุอันเป็นที่มาและเรื่องราว)



อรรถกถามีมาเดิมสืบแต่พุทธกาล เป็นของเนื่องอยู่ด้วยกันกับการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังที่เข้าใจง่ายๆ ว่า "อรรถกถา" ก็คือคำอธิบายพุทธพจน์ และคำอธิบายพุทธพจน์นั้น ก็เริ่มต้นที่พุทธพนจ์ คือพระดำรัสของพระพุทธเจ้านั่นเอง ซึ่งเป็นพระดำรัสที่ตรัสประกอบเสริมขยายความในเรื่องที่ตรัสเป็นหลักในคราว นั้นๆ บ้าง เป็นข้อที่ทรงชี้แจงอธิบายพุทธพจน์อื่นที่ตรัสไว้ก่อนแล้วบ้าง เป็นพระดำรัสปลีกย่อยที่ตัสอธิบายเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำนองเรื่องเบ็ดเตล็ดบ้าง



ดังที่ท่านยกตัวอย่างว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงได้รับนิมนต์เสด็จไปประทับใช้อาคารเป็นปฐม ในคราวที่เจ้าศากยะสร้างหอประชุม (สันถาคาร) เสร็จใหม่ ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้เพียงว่าได้ทรงแสดงธรรมกถาแก่เจ้าศากยะอยู่จนดึก เมื่อจะทรงพัก จึงรับสั่งให้พระอานนท์แสดงธรรมเรื่องเสขปฏิปทาแก่เจ้าศากยะเหล่านั้น และในพระสูตรนั้นได้บันทึกสาระไว้เฉพาะเรื่องที่พระอานนท์แสดง ส่วนธรรมกถาของพระพุทธเจ้าเองมีว่าอย่างไร ท่านไม่ได้รวมไว้ในตัวพระสูตรนี้ เรื่องอย่างนี้มีบ่อยๆ แม้แต่พระสูตรใหญ่ๆ ก็บันทึกไว้เฉพาะหลักหรือสาระสำคัญ ส่วนที่เป็นพระดำรัสรายละเอียดหรือข้อปลีกย่อยขยายความ ซึ่งเรียกว่าปกิณกเทศนา (จะเรียกว่าปกิณกเทศนา ปกิณกธรรมกถา ปกิณกกถา หรือบาลีมุตธรรมกถา ก็ได้) แม้จะไม่ได้รวมไว้เป็นส่วนของพระไตรปิฎก แต่พระสาวกก็ถือว่าสำคัญยิ่ง คือเป็นส่วนอธิบายขยายความที่ช่วยให้เข้าใจพุทธพจน์ที่บันทึกไว้เป็นพระสูตร เป็นต้นนั้นได้ชัดเจนขึ้น พระสาวกทั้งหลายจึงกำหนดจดจำปกิณกเทศนาเหล่านี้ไว้ประกอบพ่วงคู่มากับ พุทธพจน์ในพระไตรปิฎก เพื่อเป็นหลักฐานที่ช่วยให้เข้าใจชัดเจนในพระพุทธประสงค์ของหลักธรรมที่ตรัส ในคราวนั้นๆ และเฉพาะอย่างยิ่งจะได้ใช้ในการชี้แจงอธิบายหลักธรรมในพุทธพจน์นั้นแก่ศิษย์ เป็นต้น



พระปกิณกเทศนานี้แหละ ที่เป็นแกนหรือเป็นที่ก่อรูปของสิ่งที่เรียกว่าอรรถกถา แต่ในขณะที่ส่วนซึ่งเรียกว่าพระไตรปิฎก ท่านรักษาไว้ในรูปแบบและในฐานะที่เป็นหลัก ส่วนที่เป็นอรรถกถานี้ ท่านนำสืบกันมาในรูปลักษณ์และในฐานะที่เป็นคำอธิบายประกอบ แต่ก็ถือเป็นสำคัญยิ่ง ดังที่เมื่อสังคายนาพระไตรปิฎก อรรถกถาเหล่านี้ก็เข้าสู่การสังคายนาด้วย (ดูตัวอย่างที่ ม.ม.๑๓/๒๕/๒๕; ม.อ.๓/๖/๒๐; วินย.ฏี.๒/๒๘/๗๐; ที.ฏี.๒/๑๘๘/๒๐๗)



ทั้งนี้ มิเฉพาะพระพุทธดำรัสเท่านั้น แม้คำอธิบายของพระมหาสาวกบางท่านก็มีทั้งที่เป็นส่วนในพระไตรปิฎก (อย่างเช่นพระสูตรหลายสูตรของพระสารีบุตร) และส่วนอธิบายประกอบที่ถือว่าเป็นอรรถกถาคำอธิบายที่สำคัญของพระสาวกผู้ใหญ่ อันเป็นที่ยอมรับนับถือเป็นหลัก ก็ได้รับการถ่ายทอดรักษาผ่านการสังคายนาสืบต่อมาด้วย



คำอธิบายที่เป็นเรื่องใหญ่บางเรื่องสำคัญมากถึงกับว่า ทั้งที่เรียกว่าเป็นอรรถกถา ก็จัดรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพระไตรปิฎกด้วย ดังที่ท่านเล่าไว้ คือ "อัฏฐกถากัณฑ์" ซึ่งเป็นภาคหรือคัมภีร์ย่อยที่ ๓ ในคัมภีร์ธัมมสังคณี แห่งพระอภิธรรมปิฎก (พระไตรปิฎก เล่ม ๓๔, อัฏฐกถากัณฑ์นี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า "อัตถุทธารกัณฑ์" และพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐได้เลือกใช้ชื่อหลัง) ตามเรื่องที่ท่านบันทึกไว้ว่า (สงฺคณี.อ.๔๖๖) สัทธิวิหาริกรูปหนึ่งของพระสารีบุตรไม่สามารถกำหนดจับคำอธิบายธรรมในภาคหรือ คัมภีร์ย่อยที่ ๒ ที่ชื่อว่านิกเขปกัณฑ์ในคัมภีร์ธัมมสังคณีนั้น พระสารีบุตรจึงพูดให้ฟัง ก็เกิดเป็นอัฏฐกถาหรืออัตถุทธารกัณฑ์นั้นขึ้นมา (แต่คัมภีร์มหาอัฏฐกถากล่าวว่า พระสารีบุตรพาสัทธิวิหาริกรูปนั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระองค์ตรัสแสดง),



คัมภีร์มหานิเทส (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๙) และจูฬนิทเทส (พระไตรปิฎก เล่ม ๓๐) ก็เป็นคำอธิบายของพระสารีบุตร ที่ไขและขยายความแห่งพุทธพจน์ใมนคัมีร์สุตตนิบาต (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕, อธิบายเฉพาะ ๓๒ สูตร ในจำนวนทั้งหมด ๗๑ สูตร)



อรรถกถาทั้งหลายแต่ครั้งพุทธกาลนั้น ได้พ่วงมากับพระไตรปิฎกผ่านการสังคายนาทั้ง ๓ ครั้ง จนกระทั่งเมื่อพระมหินทเถระไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕ ก็นำอรรถกถาเหล่านั้น ซึ่งยังเป็นภาษาบาลีพ่วงไปกับพระไตรปิฎกบาลีด้วย แต่เพื่อให้พระสงฆ์ตลอดจนพุทธศาสนิกทั้งหลายในลังกาทวีปนั้น สามารถศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งเป็นภาษาบาลีได้สะดวก พระพุทธศาสนาจะได้เจริญมั่นคงด้วยหลักพระธรรมวินัย


คัมภีร์เล่าว่า พระมหินทเถระได้แปลอรรถกถาจากภาษาบาลีให้เป็นภาษาของผู้เล่าเรียน คือภาษาสิงหฬ ซึ่งเรียกกันต่อมาว่า "มหาอัฏฐกถา" และใช้เป็นเครื่องมือศึกษาพระไตรปิฎกบาลีสืบมา ต่อแต่นั้น อรรถกถาทั้งหลายก็สืบทอดกันมาในภาษาสิงหฬ



ต่อมา พระพุทธศาสนาในชมพูทวีปเสื่อมลง แม้ว่าพระไตรปิฎกจะยังคงอยู่ แต่อรรถกถาได้สูญสิ้นหมดไป ครั้งนั้น มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ เล่าเรียนพระไตรปิฎกแล้ว มีความเชี่ยวชาญจนปรากฏนามว่า "พุทธโฆส" ได้เรียบเรียงคัมภีร์ชื่อว่า ญาโณทัย (คัมภีร์มหาวงส์กล่าวว่าท่านเรียบเรียงอรรถกถาแห่งคัมภีร์ธัมมสังคณี ชื่อว่าอัฏฐสาลินีในคราวนั้นด้วย แต่ไม่สมจริง เพราะอัฏฐสาลินีอ้างวิสุทธิมัคค์ และอ้างสมันตปาสาทิกา มากมายหลายแห่ง จึงคงต้องแต่งทีหลัง) เสร็จแล้วเริ่มจะเรียบเรียงอรรถกถาแห่งพระปริตรขึ้น อาจารย์ของท่าน ซึ่งมีชื่อว่าพระเรวตเถระ บอกว่า อรรถกถามีอยู่บริบูรณ์ในลังกาทวีปเป็นภาษาสิงหฬ และให้ท่านไปแปลเป็นภาษาบาลีแล้วนำมายังชมพูทวีป



พระพุทธโฆสได้เดินทางไปยังลังกาทวีปในรัชกาลของพระเจ้ามหานาม (พ.ศ.๙๕๓-๙๗๕; ปีที่ท่านไป หลักฐานบางแห่งว่า พ.ศ.๙๕๖ แต่บางแห่งว่า พ.ศ.๙๖๕) พระพุทธโฆสพำนักในมหาวิหาร เมืองอนุราธปุระ ได้สดับอรรถกถภาษาสังหฬครบทั้ง มหาอฏฺฐกถา มหาปจฺจรี (มหาปจฺจริยา ก็เรียก) และกุรุนฺที (อรรถกถาเก่าก่อนเหล่านี้ รวมทั้งสงฺเขปฏฐกถาซึ่งเป็นความย่อของมหาปัจจรี และอนฺธกฏฐกถาที่พระพุทธโฆสได้คุ้นมาก่อนนั้นแล้ว จัดเป็นโปราณัฏฐกถา) เมื่อจบแล้ว ท่านก็ได้ขอแปลอรรถกถาภาษาสิงหฬ เป็นภาษามคธ


แต่สังฆะแห่งมหาวิหารได้มอบคาถาพุทธพจน์ให้ท่านไปเขียนอธิบายก่อน เป็นการทดสอบความสามารถ พระพุทธโฆสได้เขียนขยายความคาถานั้น โดยประมาลความในพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถามาเรียบเรียงตามหลักไตรสิกขา สำเร็จเป็นคัมภีร์วิสุทธิมัคค์



ครั้นเห็นความสามารถแล้ว สังฆะแห่งมหาวิหารจึงได้มอบคัมภีร์แก่ท่าน พระพุทธโฆสเริ่มงานแปลใน พ.ศ.๙๗๓ ตั้งต้นที่อรรถกถาแห่งพระวินัยปิฎก (คือสมันตปาสาทิกา, คำนวนปีจากวนย.อ.๓/๖๓๕) เมื่อทำงานแปลเสร็จพอควรแล้ว ก็เดินทางกลับไปยังชมพูทวีป




งานแปลของพระพุทธโฆสนั้น แท้จริงมิใช่เป็นการแปลอย่างเดียว แต่เป็นการแปลและเรียบเรียง ดังที่ท่านเองเขียนบอกไว้ว่า ในการสังวรรณนาพระวินัย ท่านใช้มหาอรรถกถาเป็นเนื้อหาหลัก (เป็นสรีระ) พร้อมทั้งเก็บเอาอรรถะที่ควรกล่าวถึงจากข้อวินิจฉัยที่มีในอรรถกถามหาปัจจรี และอรรถกถา กุรุนทีเป็นต้น (คือรวมตลอดถึง อันธกัฏฐกถา และสังเขปัฏฐกถา) อธิบายให้ครอบคลุมประดาเถรวาทะ (คือข้อวินิจฉัยของพระมหาเถระวินัยธรโบราณในลังกาทวีป ถึงพ.ศ.๖๕๓),



แต่ในส่วนของพระสุตตันปิฎกและพระอภิธรรมปิฏก อรรถกถาโบราณ (โปราณัฏฐกถา) ภาษาสิงหฬ มีเพียง มหาอรรถกถาอย่างเดียว (มีมหาอรรถกถาในส่วนของคัมภีร์แต่ละหมวดนั้นๆ ซึ่งถือว่าเป็นมูลัฏฐกถา) พระพุทธโฆสจึงใช้ มหาอรรถกถานั้น เป็นแกน ข้อความที่ยืดยาวกล่าวซ้ำๆ ก็จับเอาสาระมาเรียบเรียง แปลเป็นภาษามคธ โดยเก็บเอาวาทะ เรื่องราว และข้อวินิจฉัยของพระเถระสิงหฬโปราณ ถึงพ.ศ.๖๕๓ มารวมไว้ด้วย




พระพุทธโฆสาจารย์เป็นผู้เริ่มต้นยุคอรรถกถาที่กลับมีเป็นภาษาบาลีขึ้นใหม่ แม้ว่าพระพุทธโฆสจะมิได้จัดทำอรรถกถาขึ้นครบบริบูรณ์ แต่ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้นและต่อจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีพระอรรถกถาจารย์รูปอื่นๆ มาทำงานส่วนที่ขาดอยู่จนเสร็จสิ้น



รายชื่ออรรถกถา พร้อมทั้งนามพระเถราะผู้รจนา (พระอรรถกถาจารย์)
แสดงตามลำดับคัมภีร์ในพระไตรปิฎกที่อรรถกถานั้นๆ อธิบาย มีดังนี้ (พฆ. หมายถึง พระพุทธโฆสาจารย์)


ก.พระวินัยปิฎก (ทั้งหมด) สมันตปาสาทิกา (พฆ.)



ข.พระสุตตันตปิฎก

๑.ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี (พฆ.)
๒.มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี (พฆ.)
๓.สังยุตตนิกาย สารัตถปกาสินี (พฆ.)
๔.อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี (พฆ.)
๕.ขุททกนิกาย

๕.๑.ขุททกปาฐะ ปรมัตถโชติกา (พฆ.)
๕.๒.ธรรมบท ธัมมปทัฏฐกถา (*)
๕.๓.อุทาน ปรมัตถทีปนี (พระธรรมปาละ)
๕.๔.อิติวุตตกะ ปรมัตถทีปนี@ (พระธรรมปาละ)
๕.๕.สุตตนิบาต ปรมัตถโชติกา (พฆ.)
๕.๖.วิมานวัตถุ ปรมัตถทีปนี@ (พระธรรมปาละ)
๕.๗.เปตวัตถุ ปรมัตถทีปนี@ (พระธรรมปาละ)
๕.๘.เถรคาถา ปรมัตถทีปนี (พระธรรมปาละ)
๕.๙.เถรีคาถา ปรมัตถทีปนี (พระธรรมปาละ)
๕.๑๐.ชาดก ชาตกัฏฐกถา (*)
๕.๑๑.นิทเทส สัทธัมมปัชโชติกา (พระอุปเสนะ)
๕.๑๒.ปฏิสัมภิทามัคค์ สัทธัมมปกาสินี (พระมหานาม)
๕.๑๓.อปทาน วิสุทธชนวิลาสินี(**) (พระพุทธทัตตะ)
๕.๑๔.พุทธวงส์ มธุรัตถวิลาสินี (พระพุทธทัตตะ)
๕.๑๕.จริยาปิฎก ปรมัตถทีปนี (พระธรรมปาละ)



ค.พระอภิธรรมปิฎก
๑.ธัมมสังคณี อัฏฐสาลินี (พฆ.)
๒.วิภังค์ สัมโมหวิโนทนี (พฆ.)
๓.ห้าคัมภีร์ที่เหลือ ปัญจปกรณัฏฐกถา (พฆ.)


[พึงทราบ:
@ปรมัตถทีปนี ที่เป็นอรรถกถา แห่งวิมานวัตถุ และเปตวัตถุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า วิมลวิลาสินี;

(*) คือ ธัมมปทัฏฐกถา และ ชาตกัฏฐกถา นั้น ที่จริงก็มีชื่อเฉพาะว่า ปรมัตถโชติกา
และถือกันมาว่าพระพุทธโฆสเป็นผู้เรียบเรียงคัมภีร์ทั้งสองนี้ แต่อาจเป็นได้ว่าท่านเป็นหัวหน้าคณะ โดยมีผู้อื่นร่วมงานด้วย;

(**) วิสุทธชนวิลาสินี นั้น นามผู้รจนาไม่แจ้ง แต่คัมภีร์จูฬคันถวงส์ (แต่งในพม่า) ว่าเป็นผลงานของพระพุทธโฆส;


มีอรรถกถาอื่นที่พึงทราบอีกบ้าง คือ กังขาวิตรณี (อรรถกถาแห่งพระปาฏิโมกข์) ซึ่งก็เป็นผลงานของพระพุทธโฆส,
อรรถกถาแห่งเนติปกรณ์เป็นผลงานของพระธรรมปาละ]



เนื้อตัวแท้ๆ ของอรรถกถา หรือความเป็นอรรถกถา ก็ตรงกับชื่อที่เรียกคือ อยู่ที่เป็นคำบอกความหมาย หรือเป็นถ้อยคำชี้แจงอธิบายอัตถะของศัพท์หรือข้อความในพระไตรปิฏก เฉพาะอย่างยิ่งคืออธิบายพุทธพจน์ เช่น เราอ่านพระไตรปิฏก พบคำว่า "วิริยสฺส สณฺฐานํ" ก็ไม่เข้าใจ สงสัยว่าทรวดทรงสัณฐานอะไรของความเพียร จึงไปเปิดดูอรรถกถา ก็พบไขความว่า สัณฐานในที่นี้หมายความว่า "ฐปนา อปฺปวตฺตนา..." ก็เข้าใจและแปลได้ว่าหมายถึงการหยุดยั้ง การไม่ดำเนินความเพียรต่อไป



ถ้าพูดในขั้นพื้นฐาน ก็คล้ายกับพจนานุกรมที่เราอาศัยค้นหาความหมายของศัพท์ แต่ต่างกันตรงที่ว่า อรรถกถามิใช่เรียงตามลำดับอักษร แต่เรียงไปตามลำดับเนื้อความในพระไตรปิฏก ยิ่งกว่านั้น อรรถกถาอาจจะแปลความหมายให้ทั้งประโยค หรือทั้งท่อนทั้งตอน และความที่ท่านช่ำชองในพระไตรปิฏก ก็อาจจะอ้างอิงหรือโยงคำหรือความตอนนั้น ไปเทียบหรือไปบรรจบกับข้อควมเรื่องราวที่อื่นในพระไตรปิฏกด้วย นอกเหนือจากนี้ ในกรณีเป็นข้อปัญหา หรือไม่ชัดเจน ก็อาจจะบอกข้อยุติหรือคำวินิจฉัยที่สังฆะได้ตกลงไว้และรักษากันมา บางทีก็มีการแสดงความเห็นหรือมติของพระอรรถกถาจารย์ต่อเรื่องที่กำลัง พิจารณา และพร้อมนั้น ก็อาจจะกล่าวถึงมติที่ขัดแย้ง หรือที่สนับสนุนของ "เกจิ" (อาจารย์บางพวก) "อญฺเญ" (อาจารย์พวกอื่น) "อปเร" (อาจารย์อีกพวกหนึ่ง) เป็นต้น



นอกจากนั้น ในการอธิบายหลักหรือสาระบางอย่าง บางทีก็ยกเรื่องราวมาประกอบหรือเป็นตัวอย่าง ประเภทเรื่องปนอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์บ้าง เรื่องในวิถีชีวิตและความเชื่อของชาวบ้านบ้าง ตลอดจนเหตุการณ์ในยุคสมัยต่างๆ ซึ่งมากทีเดียวเป็นเรื่องความเป็นไปของบ้านเมืองในลังกาทวีป ซึ่งในอดีตผ่านยุคสมัยต่างๆ ระหว่างทีพระสงฆ์เล่าเรียนกัน คงมีการนำเอาเรื่องราวในยุคสมัยนั้นๆ มาเล่าสอนและบันทึกไว้สืบกันมา จึงเป็นเรื่องตำนานบ้าง ประวัติศาสตร์บ้าง แห่งกาลเวลาหลายศตวรรษ อันเห็นได้ชัดว่า พระอรรถกถาจารย์ดังเช่นพระพุทธโฆสาจารย์ ไม่อาจรู้ไปถึงได้ นอกจากยกเอาจากคัมภีร์ที่เรียกว่าโปราณัฏฐกถาขึ้นมาถ่ายทอดต่อไป



สำหรับผู้ที่เข้าใจรู้จักอรรถกถา สิ่งสำคัญที่เขาต้องการจากอรรถกถา ก็คือ ส่วนที่เป็นคำบอกความหมายไขความอธิบายเนื้อหาในพระไตรปิฎก ซึ่งก็คือต้องการตัวอรรถกถาแท้ๆ นั่นเอง และก็ตรงกันกับหน้าที่การงานของอรรถกถาอันได้แก่การรักษาสืบทอดคำบอกความ หมายที่เป็นอัตถะในพระไตรปิฎก ส่วนอื่นนอกเหนือจากนี้ เช่นเรื่องราวเล่าขานต่างๆ เป็นเพียงเครื่องเสริมประกอบ ที่จริง มันไม่ใช่อรรถกถา แต่เป็นสิ่งที่พ่วงมาด้วยในหนังสือหรือคัมภีร์ที่เรียกว่าอรรถกถา



เนื่องจากผู้อ่านพระไตรปิฎกบาลีต้องพบศัพท์ที่ตนไม่รู้เข้าใจบ่อยครั้ง และจึงต้องปรึกษาอรรถกถา คล้ายคนปรึกษาพจนานุกรม เมื่อแปลพระไตรปิฎกมาเป็นภาษาไทย เป็นต้น จึงมักแปลไปตามคำไขความหรืออธิบายของอรรถกถา พระไตรปิฎกแปลภาษาไทยเป็นต้นนั้น จึงมีส่วนที่เป็นคำแปลผ่านอรรถกถา หรือเป็นคำแปลของอรรถกถาอยู่เป็นอันมาก และผู้อ่านพระไตรปิฎกแปลก็ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังอ่านอรรถกถาพร้อมไปด้วย หรือตนกำลังอ่านพระไตรปิฎกตามคำแปลของอรรถกถา



มีข้อพึงทราบอีกอย่างหนึ่งว่า เวลานี้เมื่อพูดถึงอรรถกถา ทุกคนเข้าใจว่า หมายถึงอรรถกถาภาษาบาลีที่พระพุทธโฆสาจารย์ เป็นต้น ได้เรียบเรียงขึ้น ในช่วงระยะใกล้ พ.ศ.๑๐๐๐ แต่ดังได้เล่าให้ทราบแล้วว่า พระอรรถกถาจารย์รุถ่นใหม่ พ.ศ.ใกล้หนึ่งพันนี้ ได้เรียบเรียงอรรถกถาภาษาบาลีขึ้นมาจากอรรถกถาเก่าภาษาสิงหฬ ที่ถูกเรียกแยกออกไปให้เป็นต่างหากว่า "โปราณัฎฐกถา" ข้อที่ควรทราบอันสำคัญก็คือ ในอรรถกถาภาษาบาลีที่เป็นรุ่นใหม่นี้ ท่านอ้างอิงโปราณัฏฐกถาบ่อยๆ โดยบางทีก็ออกชื่อเฉพาะของอรรถกถาเก่านั้นชัดออกมาก แต่บางทีก็กล่าวเพียงว่า "ในอรรถกถากล่าวว่า..." คำว่าอรรถกถา ที่อรรถกถาภาษาบาลีกล่าวถึงนั้น โดยทั่วไป หมายถึงอรรถกถาเก่า หรือโปราณัฏฐกถา ที่เป็นภาษาสิงหฬ (พระอรรถกถาจารย์รุ่นใหม่นี้ บางท่านยังไม่พบว่าได้เรียกงานที่ท่านเองทำว่าเป็นอรรถกถา) พูดสั้นๆ ว่า คนปัจจุบันพูดถึงอรรถกถา หมายถึงอรรถกถาภาษาบาลีที่เกิดมีในยุค พ.ศ.๑๐๐๐ แต่อรรถกถาภาษาบาลีนั้นเอ่ยคำว่าอรรถกถา โดยมากมักหมายถึงอรรถกถาเก่าภาษาสิงหฬ



ต่อจากอรรถกถา ยังมีคัมภีร์ที่อธิบายรุ่นต่อมาอีกหลายชั้นเป็นอันมาก
เช่น"ฎีกา" แจงไขขยายความต่อจากอรรถกถา
"อนุฎีกา" แจงไขขยายความต่อจากฎีกา
แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง เว้นแต่จะขอบอกนามท่านผู้แต่ง "ฎีกา" ที่สำคัญ พอให้ทราบไว้

พระอาจารย์ธรรมปาละ ซึ่งเป็นพระอรรถกถาจารย์สำคัญที่เรียบเรียงอรรถกถาไว้มาก รองจากพระพุทธโฆส ได้เรียบเรียงฎีกาสำคัญ ซึ่งอธิบายอรรถกถาที่พระพุทธโฆสได้เรียบเรียงไว้อีกด้วย คือ ลีนัตถปกาสินี (เป็นฎีกาซึ่งอธิบายอรรถกถาแห่งนิกายทั้งสี่ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย และอังคุตตรนิกาย และอธิบายอรรถกถาแห่งชาดก) นอกจากนั้นก็ยังได้เรียบเรียงปรมัตถทีปนี (ฎีกาอธิบายอรรถกถาแห่งพุทธวงส์ ที่พระพุทธทัตตะเรียบเรียงไว้) แลพปรมัตถมัญชุสา (ฎีกาแห่งวิสุทธิมัคค์ ที่เรียกกันว่ามหาฎีกา), ฏีกาจารย์ท่านหนึ่ง ชื่อพระวาจิสสระ รจนา ลีนัตถทีปรนี (ฏีกาอันอธิบายต่อจากอรรถกถาแห่งปฏิสัมภิทามัคค์); นอกจากนี้ มีฎีกาอีก ๒ เรื่อง ที่ควรกล่าวไว้ด้วย เพราะกำหนดให้ใช้เล่าเรียนในหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย คือ สารัตถทีปนี (ฎีกาแห่งวินยัฏฐกถา) ผู้แต่งคือพระอาจารย์ชื่อสารีบุตร (ไม่ใช่พระสารีบุตรอัครสาวก) อภิธัมมัตถวิภาวินี ( ฏีกาแห่งอภิธัมมัตถสังคหะ) ผู้แต่งคือพระสุมังคละ

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กลอน................




โคลงโลกนิติ


เป็นคนคิดแล้วจึ่ง
เจรจา
อย่ามลนหลับตา
แต่ได้
เลือกสรรหมั่นปัญญา
ตรองตรึก
สติริรอบให้
ถูกแล้วจึงทำ๚ะ๛

ที่มาของชื่อบล็อก
*************************************************


วัฏฏสงสาร : น้ำตามากกว่ามหาสมุทร

หยดหยาดน้ำตาคราหนึ่ง เจ็บเศร้าโศกซึ้ง
จะได้กี่หนึ่งช้อนชา

อนันต์แห่งกาลเวลา เกิดดับกี่ครา
น้ำตานับหลั่งเท่าใด

กี่หนดังถูกฉีกใจ กี่คราวร่ำไห้
กลับหายไปจากความจำ

เจ็บแล้วเจ็บเล่ากี่ย้ำ ก็เรื่องซ้ำๆ
วัฏฏะมืดดำบังตา

สมุทรเหลือล้ำพรรณา บ่เทียบน้ำตา
ที่เราหลั่งมานานอนันต์....

ได้ความคิดจาก ๓. อัสสุสูตร ครับ
**************************************



ดีเบท อย่าให้ดีบาด


ถ้าดีเบทขบธรรมเพื่อวิจัย
จุดหมายใหญ่เพื่อรู้ตรง-คงคำสอน
ต่างแสดงต่างแย้งถามตามบทตอน
ชูธรรมก่อนวางศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ

ถ้าต่างฝ่ายร่วมยึดถือคือเพื่อรู้
ไม่ยึดตูกางกั้นทำหัวหมอ
ฝ่ายจะแพ้-แพ้ไม่ได้ ใจรีรอ
ฝ่ายเป็นต่อก็ไม่รานพาลได้ที

ถ้าดีเบทตีคนแทนขบธรรม
อัตตานำธรรมก็ด้อยคนถอยหนี
มีน้อยคนอยากจะสนคนราวี
ความรู้มี-ตีกันบัง คนไม่มอง

ถ้าดีเบทร่วมกันหาความรู้
ไม่แยกฝ่ายเอ็งตูออกเป็นสอง
ไม่สนเรื่องใครชนะใครประลอง
แค่อยากมองธรรมให้ตรงช่วยค้นกัน

ถ้าดีเบทอย่างนี้ดีนักหนา
เพียงแต่ว่าหลากคนหลายสีสัน
ขาวกะขาวดียิ่งทุกสิ่งอัน
ขาวกะดำดำกะดำต้องกลั่นกรอง

อันนี้อ่านกระทู้ "ดีเบท" กันในเวบบอร์ด ที่ตอนแรกก็แย้งกันด้วยเหตุผลเป็นหลัก
ตอนท้ายกลายเป็นเน้นเสียดสีแบบได้น้ำไม่ได้เนื้อ : )
***************************************************



เรือชีวิต



ชีวิตดังเรือน้อยลอยละล่อง
อยู่กลางท้องทะเลสุดไพศาล
เห็นแต่น้ำกะฟ้ามาเนิ่นนาน
ลืมว่าผ่านกี่กาลของวันคืน

โดนคลื่นลมโถมซัดพัดไปซ้าย
เราก็บ่ายมาขวากล้าจะฝืน
ลองกำลังกะชะตากล้าหยัดยืน
หวังสู่พื้นดินฝั่งอันห่างไกล

มีพระธรรมนำทางอย่างเข็มทิศ
กุมหางเสือชีวิตยังจุดหมาย
พายุซัดกี่ครั้งหวังคลี่คลาย
ประคองเรือประคองใจให้ไปดี...

แนวคิดข้อนี้สั้นๆ ว่า ชีวิตมีเหตุปัจจัยที่เป็นตัวแปรมากมาย
หลายๆ อย่างในนั้นเราควบคุมไม่ได้ เหมือนที่ควบคุมคลื่นลมไม่ได้
ได้แต่ใช้ประโยชน์หรือเลี่ยงโทษจากคลื่นลมเหล่านั้น

ที่จริงบทนี้แต่งไม่ได้ดังใจเท่าไร เพราะความสามารถเชิงกวีมีจำกัด แต่จะทิ้งก็เสียดาย
ไหนๆ มีบล็อกแล้ว ก็เอามาใส่ไว้ซะหน่อย : )

************************************************


ฝนทุกข์


สุขทุกข์เปรียบเมื่อฟ้า
มีฝน
พรมพร่างพื้นดินจน
เจิ่งน้ำ
ห่อนฝึกจิตคือชน
จรจัด
ฝกตกเปียกโชกช้ำ
ชุ่มเนื้อ เหน็บใจ



บัณฑิตสดับแล้ว
ฝึกตน
ดุจก่อบ้านกั้นฝน
ภาคหน้า
ก่อธรรมแก่กมล
รู้โลก ละวาง
ฝนตก-ตกเถิดฟ้า
อุ่นใต้ ธรรมบัง


ได้แนวคิดจากเถรคาถานี้ครับ


"ฝนตกลงมา มีเสียงไพเราะดังเสียงเพลงขับ 
กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีประตู หน้าต่างมิดชิดดี 
จิตของเราก็ตั้งมั่นดีแล้ว 
ถ้าท่านปรารถนาจะตก ก็เชิญ ตกลงมาเถิดฝน."