บทความเรื่องนี้ คัดลอกจากคำแปลศัพท์ 3 คำที่เนื่องกัน ในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ รุ่นชำระและปรับปรุงใหม่ ของพระพรหมคุณาภรณ์ ครับ
เนื้อความโดยย่อ
ทานที่พระโพธิสัตว์ทำ บางทีก็เป็นทานที่ภายหลังพระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ดี
นั่นเพราะพระโพธิสัตว์ยังอยู่ระหว่างพัฒนาตน ยังไม่ตรัสรู้
จึงได้แต่ทำเท่าที่คิดว่าดีที่สุดในคราวนั้นๆ
ทานที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น ให้ผู้หญิง ให้สุรา ให้มหรสพ
เป็นต้น
แต่ไงก็ตาม ไม่ใช่ว่ามหรสพอย่างดนตรีหรือการแสดงทุกชนิดทุกกรณี
จะเป็นบาปไปหมด ที่เป็นบุญก็มี คือ เป็นมหรสพประเภทส่งเสริมธรรมะ
นั่นเพราะพระโพธิสัตว์ยังอยู่ระหว่างพัฒนาตน ยังไม่ตรัสรู้
จึงได้แต่ทำเท่าที่คิดว่าดีที่สุดในคราวนั้นๆ
ทานที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น ให้ผู้หญิง ให้สุรา ให้มหรสพ
เป็นต้น
แต่ไงก็ตาม ไม่ใช่ว่ามหรสพอย่างดนตรีหรือการแสดงทุกชนิดทุกกรณี
จะเป็นบาปไปหมด ที่เป็นบุญก็มี คือ เป็นมหรสพประเภทส่งเสริมธรรมะ
---------------------------------------------------------------------
สัตตสดกมหาทาน ทานใหญ่อย่างละ ๗๐๐
(ตาม ที่อรรถกถาประมวลไ้ว้ ๗ หมวด คือ ช้าง ๗๐๐ ม้า ๗๐๐ รถ ๗๐๐ สตรี ๗๐๐ วัวนม ๗๐๐ ทาส ๗๐๐ ทาสี ๗๐๐ ) ซึ่งชาดกเล่าว่า พระเวสสันดรบริจาคก่อนเสด็จออกจากวังไปอยู่ที่เขาวงกตในแดนหิมพานต์,
แต่ตามหลักพระพุทธศาสนา อิตถีทาน คือการให้สตรี จัดเข้าในจำพวกทานที่ไม่เป็นทาน และไม่เป็นบุญ (คือเป็นบาป ซึ่งในมิลินทปัญหากล่าวว่าพาผู้ให้ไปสู่อบาย) จึงน่าวิเคราะห์ว่าในเรื่องนี้มีเหตุผลหรือมีนัยที่น่าศึกษาอย่างไร, ในที่นี้ จะกล่าวถึงข้อมูลและข้อสังเกตเบื้องต้นไว้ประกอบการพิจารณา คือ
ก) ในโอกาสนี้ พระเวสสันดรให้ทานโดยสั่งให้แจกจ่าย ทั้งให้ผ้าแก่ผู้ต้องการผ้า ให้สุราแก่นักเลงสุรา ให้อาหารแก่ผู้ต้องการอาหาร อรรถกถาอธิบายว่าพระเวสสันดรก็ทราบอยู่ว่าการให้น้ำเมาเป็นทานที่ไร้ผล แต่ให้เพื่อให้นักเลงสุราที่มาก็ได้ไป ไม่ต้องไปพูดว่ามาแล้วไม่ได้
ข) สตรีที่เป็นทานในคราวนี้ ตามเรื่องว่านั่งประจำรถ ๕๐๐ คันซึ่งเป็นทาน คันละคน (ทำนองว่าเป็นคนประจำรถ)
ค) ในการให้ทานบุคคล พระเวสสันดร คงจะได้รับหรือให้เป็นไปโดยความเห็นชอบของบุคคลนั้น เช่นเดียวกับการให้ภริยา
ง) ในเวลามสูตร (องฺ นวก.๒๓/๒๒๓/๔๐๖) พระพุทธเจ้าตรัสเล่าว่าพระองค์เคยทรงเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อว่าเวลามะ และได้ให้มหาทาน มีของที่เป็นทานยิ่งใหญ่มากมาย ตั้งแต่ถาดทองคำจำนวน ๘๔,๐๐๐ รวมทั้งช้าง รถ โคนม หญิงสาว อย่างละ ๘๔,๐๐๐ (ถ้าเทียบกันก็ย่ิงใหญ่กว่ามหาทานของพระเวสสันดรครั้งนี้มากมาย) แล้วลงท้ายพระองค์ตรัสว่า ทานของผู้ให้อาหารแก่คนมีสัมมาทิฏฐิเพียงคนเดียว มีผลมากกว่ามหาทานของเวลามพราหมณ์ที่กล่าวมานั้น และตรัสถึงกศลกรรมที่มีผลมากยิ่งๆ ขึ้นไป ตามลำดับ อรรถกถาอธิบายด้วยว่า ทานบางอย่างของเวลามพราหมณ์ก็ไม่นับว่าเป็นทาน แต่ให้เพราะจะให้ครบถ้วน ไม่ต้องมีใครมาพูดว่าไม่มีอันนั้นไม่มีอันนี้ ทำนองว่าให้ครบสมบูรณ์ตามนิยมของโลก ซึ่งมาเข้าข้อที่เป็นหลักทั่วไปว่า
จ) พระ โพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ก็คือกำลังพัฒนาตนอยู่ แม้จะบำเพ็ญความดีอย่างยวดยิ่งยากที่ใครอื่นจะทำได้ แต่เพราะยังไม่ตรัสรู้ ความดีที่ทำส่วนมากก็เป็นความดีตามที่นิยมยึดถือเข้าใจกันในกาลสมัยนั้นๆ คือทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในกาลเทศะนั้น เช่น ออกบวชเป็นฤาษี ได้ฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา แล้วไปเกิดในพรหมโลก (อรรถกถากล่าวว่าสุเมธดาบส ก่อนออกบวชก็ได้บริจาคสัตตสดกมหาทาน)
(ตาม ที่อรรถกถาประมวลไ้ว้ ๗ หมวด คือ ช้าง ๗๐๐ ม้า ๗๐๐ รถ ๗๐๐ สตรี ๗๐๐ วัวนม ๗๐๐ ทาส ๗๐๐ ทาสี ๗๐๐ ) ซึ่งชาดกเล่าว่า พระเวสสันดรบริจาคก่อนเสด็จออกจากวังไปอยู่ที่เขาวงกตในแดนหิมพานต์,
แต่ตามหลักพระพุทธศาสนา อิตถีทาน คือการให้สตรี จัดเข้าในจำพวกทานที่ไม่เป็นทาน และไม่เป็นบุญ (คือเป็นบาป ซึ่งในมิลินทปัญหากล่าวว่าพาผู้ให้ไปสู่อบาย) จึงน่าวิเคราะห์ว่าในเรื่องนี้มีเหตุผลหรือมีนัยที่น่าศึกษาอย่างไร, ในที่นี้ จะกล่าวถึงข้อมูลและข้อสังเกตเบื้องต้นไว้ประกอบการพิจารณา คือ
ก) ในโอกาสนี้ พระเวสสันดรให้ทานโดยสั่งให้แจกจ่าย ทั้งให้ผ้าแก่ผู้ต้องการผ้า ให้สุราแก่นักเลงสุรา ให้อาหารแก่ผู้ต้องการอาหาร อรรถกถาอธิบายว่าพระเวสสันดรก็ทราบอยู่ว่าการให้น้ำเมาเป็นทานที่ไร้ผล แต่ให้เพื่อให้นักเลงสุราที่มาก็ได้ไป ไม่ต้องไปพูดว่ามาแล้วไม่ได้
ข) สตรีที่เป็นทานในคราวนี้ ตามเรื่องว่านั่งประจำรถ ๕๐๐ คันซึ่งเป็นทาน คันละคน (ทำนองว่าเป็นคนประจำรถ)
ค) ในการให้ทานบุคคล พระเวสสันดร คงจะได้รับหรือให้เป็นไปโดยความเห็นชอบของบุคคลนั้น เช่นเดียวกับการให้ภริยา
ง) ในเวลามสูตร (องฺ นวก.๒๓/๒๒๓/๔๐๖) พระพุทธเจ้าตรัสเล่าว่าพระองค์เคยทรงเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อว่าเวลามะ และได้ให้มหาทาน มีของที่เป็นทานยิ่งใหญ่มากมาย ตั้งแต่ถาดทองคำจำนวน ๘๔,๐๐๐ รวมทั้งช้าง รถ โคนม หญิงสาว อย่างละ ๘๔,๐๐๐ (ถ้าเทียบกันก็ย่ิงใหญ่กว่ามหาทานของพระเวสสันดรครั้งนี้มากมาย) แล้วลงท้ายพระองค์ตรัสว่า ทานของผู้ให้อาหารแก่คนมีสัมมาทิฏฐิเพียงคนเดียว มีผลมากกว่ามหาทานของเวลามพราหมณ์ที่กล่าวมานั้น และตรัสถึงกศลกรรมที่มีผลมากยิ่งๆ ขึ้นไป ตามลำดับ อรรถกถาอธิบายด้วยว่า ทานบางอย่างของเวลามพราหมณ์ก็ไม่นับว่าเป็นทาน แต่ให้เพราะจะให้ครบถ้วน ไม่ต้องมีใครมาพูดว่าไม่มีอันนั้นไม่มีอันนี้ ทำนองว่าให้ครบสมบูรณ์ตามนิยมของโลก ซึ่งมาเข้าข้อที่เป็นหลักทั่วไปว่า
จ) พระ โพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ก็คือกำลังพัฒนาตนอยู่ แม้จะบำเพ็ญความดีอย่างยวดยิ่งยากที่ใครอื่นจะทำได้ แต่เพราะยังไม่ตรัสรู้ ความดีที่ทำส่วนมากก็เป็นความดีตามที่นิยมยึดถือเข้าใจกันในกาลสมัยนั้นๆ คือทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในกาลเทศะนั้น เช่น ออกบวชเป็นฤาษี ได้ฌานสมาบัติ ได้โลกียอภิญญา แล้วไปเกิดในพรหมโลก (อรรถกถากล่าวว่าสุเมธดาบส ก่อนออกบวชก็ได้บริจาคสัตตสดกมหาทาน)
***************************************************
ทาน การให้, ยกมอบแก่ผู้อื่น, ให้ของที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้ เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น; สิ่งที่ให้ ,ทรัพย์ิสินสิ่งของที่มอบให้หรือแจกออกไป;
ทาน๒ คือ
๑. อามิสทานให้สิ่งของ
๒. ธรรมทานให้ธรรม;
ทาน ๒อีกหมวดหนึ่ง คือ
๑.สังฆทาน ให้แก่สงฆ์ หรือให้เพื่อส่วนรวม
๒. ปาฏิกบุคลิกทาน ให้เจาะจงแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ
(ข้อ ๑ ในทศพธราชธรรม,
ข้อ ๑ ในบารมี ๑๐,
ข้อ ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ และ ๑๐,
ข้อ ๑ ในสังคหวัตถุ ๔,
ข้อ ๑ ในสัปปุริสบัญญัติ ๓)
******************************************************
ทานมิใช่ถูกต้องดีงามหรือเป็นบุญเสมอไป
ทานบางอย่างถือไม่ได้ว่าเป็นทาน และเป็นบาปด้วย
ในพระไตรปิฎก (วินย.๘/๙๗๙/๓๒๖)
กล่าวถึงทานที่ชาวโลกถือกันว่าเป็นบุญ แต่ที่แท้หาเป็นบุญไม่
ทานที่เป็นบาป ๕ อย่าง คือ
๑.มัีชชทาน (ให้น้ำเมา)
๒. สมัชชทาน (ให้มหรสพ)
๓. อิตถีทาน (ให้สตรี)
๔. อุสภทาน (ท่านอธิบายว่าปล่อยให้โคอุสภะ*เข้าไปในฝูงโค)
๕. จิตรกรรมทาน (ให้ภาพยั่วยุกิเลส เช่น ภาพสตรีและบุรุษเสพเมถุน),
ในคัมภีร์มิลินทปัญหา(มิลินท.๓๕๒) กล่าวถึง
ทานที่ไม่นับว่าเป็นทาน อันนำไปสู่อบาย ๑๐ อย่าง
ได้แก่ ๕ อย่างที่กล่าวแล้ว และเพิ่มอีก ๕ คือ
๖. สัตถทาน (ให้ศัสตรา)
๗. วิสทาน (ให้ยาพิษ)
๘. สังขลิกทาน (ให้โซ่ตรวน)
๙. กุกกุฏสูกรทาน (ให้ไก่ให้สุกร)
๑๐. ตุลากูฏมานกูฏทาน (ให้เครื่องชั่งตวงวัดโกง);
สำหรับสมัชชาทาน พึงดู สาธุกีฬา
ทาน๒ คือ
๑. อามิสทานให้สิ่งของ
๒. ธรรมทานให้ธรรม;
ทาน ๒อีกหมวดหนึ่ง คือ
๑.สังฆทาน ให้แก่สงฆ์ หรือให้เพื่อส่วนรวม
๒. ปาฏิกบุคลิกทาน ให้เจาะจงแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ
(ข้อ ๑ ในทศพธราชธรรม,
ข้อ ๑ ในบารมี ๑๐,
ข้อ ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ และ ๑๐,
ข้อ ๑ ในสังคหวัตถุ ๔,
ข้อ ๑ ในสัปปุริสบัญญัติ ๓)
******************************************************
ทานมิใช่ถูกต้องดีงามหรือเป็นบุญเสมอไป
ทานบางอย่างถือไม่ได้ว่าเป็นทาน และเป็นบาปด้วย
ในพระไตรปิฎก (วินย.๘/๙๗๙/๓๒๖)
กล่าวถึงทานที่ชาวโลกถือกันว่าเป็นบุญ แต่ที่แท้หาเป็นบุญไม่
ทานที่เป็นบาป ๕ อย่าง คือ
๑.มัีชชทาน (ให้น้ำเมา)
๒. สมัชชทาน (ให้มหรสพ)
๓. อิตถีทาน (ให้สตรี)
๔. อุสภทาน (ท่านอธิบายว่าปล่อยให้โคอุสภะ*เข้าไปในฝูงโค)
๕. จิตรกรรมทาน (ให้ภาพยั่วยุกิเลส เช่น ภาพสตรีและบุรุษเสพเมถุน),
ในคัมภีร์มิลินทปัญหา(มิลินท.๓๕๒) กล่าวถึง
ทานที่ไม่นับว่าเป็นทาน อันนำไปสู่อบาย ๑๐ อย่าง
ได้แก่ ๕ อย่างที่กล่าวแล้ว และเพิ่มอีก ๕ คือ
๖. สัตถทาน (ให้ศัสตรา)
๗. วิสทาน (ให้ยาพิษ)
๘. สังขลิกทาน (ให้โซ่ตรวน)
๙. กุกกุฏสูกรทาน (ให้ไก่ให้สุกร)
๑๐. ตุลากูฏมานกูฏทาน (ให้เครื่องชั่งตวงวัดโกง);
สำหรับสมัชชาทาน พึงดู สาธุกีฬา
******************************************************************
สาธุกีฬา กีฬาที่ดี, การละเล่นที่ดีงาม เป็นประโยชน์;
เป็น คำในชั้นอรรถกถา เฉพาะอย่างยิ่งที่เล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มีสาธุกีฬา ๗ วัน ต่อเนื่องและประสานกับการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ, แม้ในการปรินิพพานของพระปัจเจกาพุทธเจ้าและพระอรหันต์หลายท่าน ก็มีเรื่องเล่าถึงการเล่นสาธุกีฬา ๗ วัน และการบูชาพระธาตุ;
สาธุกีฬามีลักษณะสำคัญคือ มิใช่เล่นเพื่อความสนุกสนานบันเทิงของตนเอง แต่เล่นให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และไม่ขัดต่อสัมปรายิกัตถะ (ประโยชน์ด้านจิตใจและปัญญา) ให้ก่อกุศลมาก เช่น มีคีตะคือเพลงหรือการขับร้องที่กระตุ้นเตือนใจให้ระลึกถืงความจริงของ ชีวิตและคิดที่จะไม่ประมาท เร่งสร้างสรรค์ทำความดีพร้อมทั้งเป็นการสักการะบูชาพระผู้ปรินิพพาน
*****************************************
เชิงอรรถ
โคอุสภะ คือ โคตัวผู้ ในที่นี้หมายความว่า เอาโคมาปล่อยให้ผสมพันธ์กัน
การเอาความหมาย จึงไม่ควรถือเอาเฉพาะชนิดสัตว์ หรือเพศของสัตว์อย่างเดียว
ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาตั้ง
แต่พึงจับเอาหลักมาใช้วินิจฉัยเรื่องอื่นๆ ทำนองนี้ด้วย
*****************************************
เชิงอรรถ
โคอุสภะ คือ โคตัวผู้ ในที่นี้หมายความว่า เอาโคมาปล่อยให้ผสมพันธ์กัน
การเอาความหมาย จึงไม่ควรถือเอาเฉพาะชนิดสัตว์ หรือเพศของสัตว์อย่างเดียว
ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาตั้ง
แต่พึงจับเอาหลักมาใช้วินิจฉัยเรื่องอื่นๆ ทำนองนี้ด้วย
รู้สึกว่าจะสนุกสนานกับการแต่งบล็อคนะ :)
ตอบลบอือ เคยอ่านเรื่องทานที่ไม่เป็นบุญนี้จากสปิริตวิทอิน คือ รวมดนตรีด้วย สมัยเข้าไปห้องศาสนาพันทิปใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่ออกจากวงการบันเทิง อ่านแล้วก็สะดุ้ง 555 เพราะว่าไรท์ซีดีเพลงแจกเพื่อนกันสนุกสนาน (แต่ต้นฉบับเป็นของแท้นา) ก็คิดว่า เอาหนะ ไม่เป็นบุญก็ไม่เป็นบุญ เป็นน้ำใจของเพื่อนที่มีต่อกันคงไม่เสียหาย อิอิ
เพลงๆหนึ่งอาจมีทั้งลักษณะของสาธุกีฬ่ากะบาปทานได้มังครับ เพียงแต่ว่าส่วนที่ชวนให้เกิดความคิด หรือชวนให้มัวเมาอันไหนจะมากกว่า
ตอบลบแต่เพลงที่นิยมกันสมัยนี้ คงไม่เชิงเป็นสาธุกีฬาที่เด่นชัดเท่าไรหรอกเนาะ : )
มาโพสต์เพิ่มนิดหน่อย
ตอบลบคือเรื่องให้ของอะไรใครแล้วจะเป็นบุญหรือเป็นบาปนี้
ถ้าไม่อยากดูจุกจิกมาก ก็พิจารณาแค่ว่า
ของที่ให้นั้นจะส่งผลแ่ก่ผู้รับขณะนั้นในเชิงเกื้อกูลกุศล
หรือเป็นโทษแก่เขามากกว่า อันนี้ด้านปัญญา
อีกด้านคือ เจตนาเราตอนให้ต้องการอย่างไร ต้องการให้ผู้รับได้เสพสิ่งจรรโลงใจที่แฝงอยู่ในนั้น หรืออยากให้ผู้รับได้เสพสนุกเพลินเรื่อยเปื่อยเป็นต้น อันนี้ด้านเจตนาเรา
ถ้าสองด้านนี้เราผ่าน ที่เหลือก็คงไม่ต้องพิจารณามาก
อย่างข้อ1ข้อ2... เป็นต้นในทานบาปที่ท่านกล่าวถึง
ผมคิดว่าท่านคงยกตัวอย่างมาให้เราพิจารณาเป็นแนวทางแหละครับ
พิมพ์เสียยาว ที่จริงกะฉวยโอกาสลองกล่องคอมเมนท์ที่เพิ่งแต่งใหม่ด้วยแหละ : )