โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ ปยุตฺโต)
หนังสือตีพิมพ์ครั้งที่ 1 ปี2540 โดย ธรรมสภา
ตอน 1. ความนำ
เกณฑ์วินิจฉัยความหมายและคุณค่าของพุทธธรรม
ตอน 2. ธรรมเป็นอุปกรณ์ เปรียบเหมือนยานพาหนะ (หน้านี้)
ตอน 3. ธรรมมีทั้งแง่ลบและแง่บวก
ตอน 4. ธรรมในแง่สาระและรูปแบบ
ตอน 5. ธรรมในแง่การเข้าถึงกับการวางท่าที
ตอน 6. ธรรมที่คงตัวกับธรรมที่ปรับเปลี่ยนได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
๑. ธรรมเป็นอุปกรณ์เปรียบเหมือนยานพาหนะ
ข้อที่หนึ่ง ในการศึกษาพุทธธรรม จะต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนามีความหมายเหมือนกับอุปกรณ์หรือยานพาหนะ สำหรับนำไปสู่จุดหมาย นี้เป็นการพูดตามพุทธวจนะที่มีอยู่ว่า ธรรมทั้งหลายเปรียบเสมือนแพ แพนั้นมีไว้สำหรับใช้ข้ามฟาก ไม่ใช่สำหรับยึดถือเกาะติดไว้ พุทธพจน์นี้ควรจะตระหนักกันให้มากในการที่จะศึกษาหลักธรรมต่างๆ
จากพุทธพจน์นี้ เราตีความหมายได้ ๒ แง่ด้วยกัน
ประการที่ ๑ ในแง่ของคุณค่าและความหมาย จะต้องเข้าใจว่า คุณค่าของหลักธรรมต่างๆ นั้นอยู่ที่ความเป็นอุปกรณ์ คือเป็นเครื่องมือหรือสิ่งสำหรับใช้ประโยชน์
ประการที่ ๒ ความเป็นอุปกรณ์นั้น จะต้องสัมพันธ์กับจุดหมายในการที่จะนำธรรมต่างๆ มาใช้ จากนี้จะเกิดความเข้าใจชัดและกว้างออกไปในแง่การปฏิบัติว่า การปฏิบัติต่อธรรมะทั้งหลายนั้น ถ้าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็คือการที่จะต้องใช้ประโยชน์ ถ้าเป็นการปฏิบัติที่ผิดก็คือการยึดถือเกาะติดในธรรมะนั้น โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เริ่มตั้งแต่การนำมาถกเถียงกันเปล่าๆ การปฏิบัติอย่างเลื่อนลอย ไร้จุดหมาย ไร้ความสัมพันธ์ จนถึงการยึดถือในข้อปฏิบัตินั้นๆ ด้วยโมหะอย่างเหนียวแน่น
ที่ว่าธรรมะเป็นอุปกรณ์นำไปสู่จุดมุ่งหมายนั้นสำคัญอย่างไร ธรรมะทั้งปวงมีความสัมพันธ์เนื่องถึงกัน ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความมุ่งหมายของพุทธธรรม ธรรมแต่ละหัวข้อย่อมมีคุณค่าในตัวของมันเอง ตามตำแหน่งที่อยู่ในความสัมพันธ์นั้น คือมีคุณค่าตามตำแหน่งที่มันสัมพันธ์กับธรรมะข้ออื่นๆ ในกระบวนการปฏิบัติ การปฏิบัติธรรรมเป็นการปฏิบัติต่อเนื่อง ท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนกับการไปสู่จุดหมายแห่งหนึ่งด้วยรถเจ็ดผลัดเป็นต้น
อันนี้มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก หมายความว่า การปฏิบัติธรรมแต่ละข้อๆ นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมข้ออื่นๆ ต่อไป และจุดหมายในที่นี้ต้องแน่นอนชัดเจน ชี้เฉพาะได้ ไม่ใช่จุหมายที่พร่าๆ ใครๆ อาจจะบอกเมื่อปฏิบัติธรรมสักข้อหนึ่งว่า ปฏิบัติธรรมข้อนั้นเพื่อพระนิพพาน อย่างนี้ใครๆ ก็พูดได้ เพราะเป็นกำปั้นทุบดิน แต่เป็นการตั้งเป้าหมายที่พร่าเกินไป ความจริงหลักธรรมแต่ละข้อย่อมมีจุดหมายของมันโดยเฉพาะ แต่ละข้อแต่ละตอนไปว่า ธรรมะข้อนี้เป็นไปเพื่ออะไร เช่น ถ้าจะปฏิบัติศีล ก็มีข้อมุ่งหมายว่าศีลนั้นเพื่ออะไร
ถ้าหากเราไม่ปฏิบัติธรรมโดยมีความมุ่งหมายแล้ว การปฏิบัติธรรมะก็เป็นไปโดยเลื่อนลอย ขาดความสัมพันธ์กับธรรมะข้ออื่นๆ จะเห็นได้ง่ายๆ อีกอย่างหนึ่ง ยกธรรมะที่เกี่ยวข้องกับชาวโลกมากหน่อย หรือพูดถึงกันบ่อยๆ คือ ข้อสันโดษนั่นเอง สันโดษเป็นธรรมะที่ปฏิบัติเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร สำหรับคนทั่วไปถ้าไม่ตระหนักถึงจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติสันโดษ ก็จะเห็นชัดเจนว่าเป็นการปฏิบัติลอยๆ ไม่สัมพันธ์กับหลักธรรมข้ออื่นๆ เขาอาจจะสร้างภาพที่ผิดพลาดขึ้นมา บอกตัวเองหรือทำให้คนอื่นเข้าใจเป็นภาพที่เลือนลาง คล้ายกับจะให้เห็นว่าเป็นการปฏิบัติอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยเฉพาะมักจะให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมข้อสันโดษนั้น ก็เพื่อให้มีความสุข จากนั้นก็อาจจะสร้างภาพต่อไปว่าคนที่มีสันโดษ ถ้าเป็นพระก็เป็นพระที่เรียบร้อย เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครทำนองนี้ ผลที่สุด ในแง่หนึ่ง ก็ทำให้ธรรมะขาดชีวิตชีวา แต่ข้อสำคัญก็คือ ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ที่ต้องการหรือที่สมควรจะได้
ทีนี้ สันโดษมีความมุ่งหมายอย่างไร ท่านแสดงไว้ในที่ทุกแห่ง แต่เราอาจจะไม่เฉลียวใจ เช่น สำหรับพระภิกษุ คำแสดงความหมายสันโดษของพระพุทธเจ้าบอกว่า พระภิกษุสันโดษในปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ศิลานปัจจัย เภสัชบริชาร จะไปไหนก็ไปได้ง่ายๆ เอง เหมือนกับนกที่มีแต่ปีกบินไป
อันนี้มีความหมายส่ออยู่ในตัว ถึงการปฏิบัติสันโดษอย่างมีความมุ่งหมาย มีความมุ่งหมายอย่างไร ก็หมายความว่า ในกรณีนี้ พระภิกษุนั้น เมื่อมีความสันโดษแล้ว ก็ไม่มีความห่วงกังวลในทางวัตถุ จะไปไหนต่อไหนก็ไปได้สะดวก เหมือนนกที่มีแต่ปีกบินไป แล้วจะเข้ากับจุดหมายอย่างไร เข้าในแง่อุดมคติที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระสาวกไว้ตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียวว่า ให้ภิกษุทั้งหลายจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์ทั้งหลาย พอมีหลักธรรมเรื่องสันโดษเข้ามา มันก็เข้ากับจุดมุ่งหมายตามอุดมคตินี้ว่า เมื่อพระภิกษุมีความสันโดษ ไม่มีความห่วงกังวลในทางวัตถุแล้ว ท่านจะไปทำหน้าที่ประกาศพระศาสนา ท่านจะไปไหนมาไหนก็สะดวกสบายทำหน้าที่ได้เต็มที ได้ใจความว่าไม่มีห่วงกังวลในทางวัตถุ ทุ่มเทเวลาและกำลังงานให้แก่การบำเพ็ญสมณธรรม และปฏิบัติศาสนกิจได้เต็มที่
นี้ก็เป็นตัวอย่างอีกอันหนึ่งของการปฏิบัติธรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่การปฏิบัติอย่างเลื่อนลอย ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็จะได้เพียงการสร้างภาพว่า คนสันโดษเป็นแต่เพียงผู้ที่อยู่เงียบๆ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร ผลที่สุด ธรรมต่างๆ ก็จะขาดลอยจากัน ไม่มีชีวิตชีวา ขาดการเชื่อม ขาดการประสาน ที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่สูงใหญ่ยิ่งๆ ขึ้นไป นี้เป็นแง่ที่หนึ่ง
นอกจากนั้น เมื่อเข้าใจความหมายของสันโดษว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างใดแล้ว เรายังจะรู้อีกว่า ทำไมหลักธรรมข้อสันโดษจึงไม่ขัดกับหลักธรรมข้อไม่สันโดษ เพราะความไม่สันโดษเป็นหลักธรรมสำคัญอันหนึ่งของทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเน้นไว้ว่า ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น เพราะพระองค์ไม่ทรงสันโดษ อาจจะทำให้เกิดความสงสัยว่า เอ๊ะ...ทำไมจึงสอนความไม่สันโดษด้วย ดูเป็นการขัดกันไป ความจริงถ้าเรารู้หลักธรรมแต่ละข้อมีจุดมุ่งหมายอย่างไรแล้ว เราจะเห็นความไม่ขัดกันในทันที สำหรับพระภิกษุนั้น เพราะว่ามีความสันโดษในปัจจัย ๔ ท่านก็หมดความกังวลที่จะหาความเพลิดเพลิน ความปรนเปรอทางวัตถุ พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนธรรมข้อไม่สันโดษไว้ บอกว่าไม่ให้สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย พระองค์ตรัสไว้ทีเดียวว่า ที่ได้ตรัสรู้นั้น ทรงมองเห็นคุณค่าของธรรมะ ๒ ประการ คือ ความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย และการทำความเพียรอย่างไม่รู้จักย่อท้อ
จากพุทธพจน์นี้จะเห็นว่า ความไม่สันโดษมีขอบเขตของมัน คือ ใช้ในกุศลธรรมอันได้แก่ คุณธรรม และการปฏิบัติกิจที่ดีงาม พระพุทธเจ้าไม่ได้เคยทรงหยุดยั้ง ไม่เคยพอพระทัยเลยในผลสำเร็จของพระองค์ พระองค์เสด็จไปเรียน ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในสำนักดาบส ฤาษี หรือพวกโยคีต่างๆ เรียนจบและแสดงความสามารถจนกระทั่้งอาจารย์พอใจ เชิญให้อยู่ร่วมสำนักเพื่อให้ทำการสอนต่อไป พระองค์ก็หาได้พอพระทัยไม่ ยังไม่สำเร็จผลที่มุ่งหมาย พระองค์จึงได้ออกจากสำนักดาบสเหล่านั้นไป แล้วแสวงหาธรรมด้วยพระองค์เอง จนสำเร็จ
หลักธรรมทั้ง ๒ ประการ คือ สันโดษก็ดี ไม่สันโดษก็ดี ย่อมมีความประสานกัน มิได้ขัดกันเลย มีแต่ส่งเสริมกันด้วยซ้ำ เพราะเมื่อสันโดษแล้ว พระภิกษุนั้นก็ตัดห่วงกังวลในทางที่จะปรนเปรอตนเองในทางวัตถุได้ สามารถบำเพ็ญความไม่สันโดษในกุศลธรรมได้เต็มที่ คือ มุ่งมั่นในการปฏิบัติธํรรม พยายามให้ถึงผลสำเร็จที่มุ่งหมาย เพราะฉะนั้น อาศัยหลักธรรมข้อสันโดษ เราก็ตัดความโลภ ความห่วงกังวล ที่จะเหนี่ยวรั้งขัดขวางเราไม่ให้ทำกิจหน้าที่ของตนได้เต็มที่ เป็นการทำตัวให้พร้อม และคล่องตัว เมื่อมีความพร้อมคล่องตัวดีแล้ว ก็ปฏิบัติธรรมข้อไม่สันโดษ หลักธรรมข้อไม่สันโดษนั้น ก็นำมาใช้ในการสร้างนิสัยใฝ่สัมฤทธิ์และการแสวงหาความดีเลิสต่อไป อันนี้จึงเป็นหลักธรรมที่ประสานกลมกลืนกัน นี้เป็นเพียงตัวอย่างอันหนึ่ง จะขอผ่านไปก่อนสู่หลักเกณฑ์ประการที่ ๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น