โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ ปยุตฺโต)
หนังสือตีพิมพ์ครั้งที่ 1 ปี2540 โดย ธรรมสภา
ตอน 1. ความนำ
เกณฑ์วินิจฉัยความหมายและคุณค่าของพุทธธรรม
ตอน 2. ธรรมเป็นอุปกรณ์ เปรียบเหมือนยานพาหนะ
ตอน 3. ธรรมมีทั้งแง่ลบและแง่บวก
ตอน 4. ธรรมในแง่สาระและรูปแบบ
ตอน 5. ธรรมในแง่การเข้าถึงกับการวางท่าที (หน้านี้)
ตอน 6. ธรรมที่คงตัวกับธรรมที่ปรับเปลี่ยนได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
๔. ธรรมในแง่การเข้าถึงกับการวางท่าที
ข้อที่ควรจะพูดถึงต่อจากเรื่องที่แล้วคือ การเข้าถึงกับการวางท่าที อันนี้จะพูดให้สั้นที่สุด ความสับสนในการเข้าถึงกับการวางท่าทีนี้ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สับสนมากในเรื่องของศาสนา และก็มีความสับสนในการดำรงชีวิตด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น นรก สวรรค์ คำถามเกี่ยวกับเทพเจ้า เรื่องเกี่ยวกับโลกนี้ว่า มีที่สิ้นสุดไม่มีที่สิ้นสุด ที่เราเรียกว่าปัญหาทางอภิปรัชญา ตลอดไปกระทั่งถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร ปาฏิหาริย์ ต่างๆ เหล่านี้พวกหนึ่ง กับเรื่องข้อปฏิบัติต่างๆ เหล่านี้ อีกพวกหนึ่ง เราจะต้องมีหลักการวางตัวต่อมัน คือ พวกหนึ่งเป็นสิ่งที่เราพึงเผชิญด้วยความพยายามเข้าถึง อีกพวกหนึ่ง พึงเผชิญด้วยความตระหนักในการวางท่าที ถ้าเราไม่สามารถแยก ๒ อย่างนี้ออกจากกันแล้ว จะเกิดโทษและเกิดความสับสนในการปฏิบัติและความเข้าใจเป็นอย่างมาก
สำหรับพระพุทธศาสนานั้น วางหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน จะขอลัดให้สั้นว่า สำหรับธรรมะทั่วๆ ไปนั้น ก็ชัดแจ้งอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องนำมาปฏิบัติ ธรรมะทั้งหลายอุปมาเหมือนแพ มีไว้สำหรับใช้ข้ามฟาก ทีนี้ ในเรื่องบางอย่าง เอาง่ายๆ เช่น เรื่องศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราควรจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร พระพุทธศาสนานั้นวางหลักไว้ชัดเจนแล้วว่า สำหรับสิ่งเหล่านี้ให้ใช้วิธีวางท่าที การวางท่าทีเป็นอย่างไร เรื่องบางอย่าง เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ อะไรเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะพิสูจน์ออกมาได้ให้เห็นชัดเจน ทั้งในแง่การยอมรับ และปฏิเสธโดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้มีโอกาสให้คลุมเครืออยู่ตลอดไป หรือเป็นสิ่งลับๆ ล่อๆ ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิง และฝ่ายที่ยืนยันก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงให้อีกฝ่ายยอมรับได้แน่นอนเช่นเดียวกัน คือ ทั้งสองฝ่ายจะเอาชนะกันเด็ดขาดไม่ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธศาสนาให้ใช้วิธีวางท่าที การวางท่าทีเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องลอยๆ เป็นการทำอย่างมีเหตุผลชัดเจนที่สุด วางท่าทีอย่างไร เรามองเห็นด้วยเหตุผลทันทีว่า การเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ นั้น ขัดต่อหลักการพึ่งตนเอง ทำให้เรามัวแต่พึ่งพาอาศัย คอยหวังพึ่งอำนาจจากภายนอก ทำให้หวังผลสนองในทางลัด เช่น เราหวังผลสำเร็จในกิจบางอย่าง ถ้าเราไปหวังในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิปาฏิหาริย์แล้ว เราก็อาจจะต้องนั่งนอนรอเพื่อให้สิ่งนั้นบันดาลผลขึ้นมา ทำให้เราขาดความเพียรพยายามในการที่จะลงมือปฏิบัติ โดยทางเหตุผลที่มองเห็นประจักษ์แก่ตนเอง
ในทางหลักธรรมนั้นให้พึ่งตนเอง ประพฤติปฏิบัติในทางที่เป็นเหตุเป็นผลในสิ่งที่มองเห็น พยายามให้เป็นผลสำเร็จขึ้นมาด้วยการกระทำของตนตามสามัญวิสัยหรือความเพียรของมนุษย์ การมัวเชื่อคอยหวังในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ ย่อมทำให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ และก็ทำให้เรามีจิตใจหวังพึ่งผู้อื่นอยู่เรื่อยไป เป็นผลเสียในการปฏิบัติธรรม
เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงควรคิดตัดสินใจอย่างเด็ดขาดลงไปว่า เมื่อจะปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องถือหลักของการปฏิบัติด้วยการลงมือกระทำ โดยความพากเพียรพยายาม ไม่ใช่มัวไปหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อสิ่งนั้นไม่เป็นจริง แม้เป็นจริงก็ไม่อยากพึ่ง ต้องเป็นอย่างนี้ นี่คือท่าทีของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า แม้จะมีคำสอนบันทึกไว้ว่า ทรงเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นอย่างยิ่ง ทำได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่พระองค์ก็ทรงติเตียนอิทธิปาฏิหาริย์ และทรงปรับอาบัติแก่พระภิกษุที่แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ด้วย เพราะเป็นการชักนำให้ประชาชนเกิดความไขว้เขว ไม่ทำให้เขาเพียรพยายามทำในสิ่งที่ควรทำให้สำเร็จด้วยเรี่ยวแรงของตนเอง จุดหมายที่สูงนั้นจะบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงความเพียรของตนเอง หาสำเร็จด้วยการพึ่งสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้แม้สมมติหรือเป็นจริง ก็เฉออกไปนอกทางของความเพียรพยายาม จึงให้วางท่าทีลงไปว่าไม่ควรจะหวังพึ่ง พระพุทธเจ้าทรงติเตียนอิทธิปาฏิหาริย์ไว้ ไม่ทรงสรรเสริญ ทรงสอนว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ การสั่่งสอนให้เห็นจริงเห็นจังด้วยปัญญา จนนำไปปฏิบัติได้เอง เป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า ดังนี้เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น